ชื่อสมุนไพร กระถิน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กระถินไทย, กระถินบ้าน,กระถินน้อย (ภาคกลาง), ผักหนองบก (ภาคเหนือ), สะตอเบา, สะตอบ้าน (ภาคใต้), กะเส็ดบก, กะเส็ดโคก (ราชบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Leucaena,leucocephala (Lann.)de Wit
ชื่อสามัญ White popinac,Leucaena,Lead tree
วงศ์ LEGUMINOSAE-MINOSOUDEAE
กระถินมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีอเมริกา (อเมริกากลาง) แล้วจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในทวีปเอเชียนั้น กระถินได้เริ่มแพร่กระจายพันธุ์เข้ามาครั้งแรกเมื่อสมัยที่สเปนปกครอง ฟิลิปปินส์ (ค.ศ. 1565 – 1825) ส่วนในประเทศไทยมีรายงานการบันทึกว่ากระถินได้ถูกนำเช้ามาปลูกเป็นครั้งแรกในช่วงสมัยอยุธยา และในปัจจุบันสามารถพบเห็นกระถินได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ตามบริเวณชายป่า สองข้างทาง หรือตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไปเป็นต้น
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ของกระถิน
ใช้ขับลม ขับระดูในสตรี ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ โดยใช้รากแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ ช่วยเจริญอาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้นิ่วในกระเพาะโดยใช้ยอดอ่อนมารับประทานสดๆ หรือรับประทานกับน้ำพริกต่างๆ ก็ได้ ใช้บำรุงกระดูก แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้นิ่วในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง โดยใช้ฝักอ่อนมารับประทานสดๆ หรือรับประทานเป็นผักแกล้มน้ำพริกต่างๆ ก็ได้ ยาถ่ายพยาธิตัวกลม โดยใช้เมล็ดอ่อนกระถินมารับประทานซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ให้ใช้ครั้งละ 25-50 กรัม ส่วนเด็กให้ใช้ 5-20 กรัมต่อวัน โดยรับประทานขณะท้องว่างในตอนเช้าติดต่อกันประมาณ 3-5 วัน ใช้แก้อาการนอนไม่หลับ ขับลมในลำไส้ ขับระดูขาวในสตรี ใช้แก้เนื้องอกโดยใช้เมล็ดแก่มาต้มกับน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไปของกระถิน
กระถินจัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบมีสูงได้ประมาณ 3-10 เมตร ไม่ผลัดใบ ลักษณะทรงต้นเป็นเรือนยอดรูปไข่หรือกลมแผ่กิ่งก้านเป็นพุ่มแตกกิ่งเหนือลำต้นตั้งแต่ยังไม่ถึง 1 เมตร เปลือกต้นบางติดต้นมีสีเทาสากเล็กน้อย และมีปุ่มนูนของรอยกิ่งก้านที่หลุดร่วงไป เนื้อไม้สีเหลืองอ่อนหรือสีขาวเปราะหักง่าย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (bipinnate) 2 ชิ้น เรียงสลับกันแต่ละก้านจะยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ซึ่งใน 1 ก้านจะประกอบด้วยก้านของกลุ่มใบย่อย 5 ก้าน แตกออกตรงข้ามกัน โดยก้านใบย่อยจะยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร และจะประกอบไปด้วยใบย่อยลักษณะเรียวยาวสีเขียว ปลายมนคล้ายใบหอกกว้าง 2-5 มิลลิเมตร ยาว 0.5-2 มิลลิเมตร แตกออกตรงข้ามกัน จำนวน 12-13 คู่ ฝักมีลักษณะแบน กว้าง 1.4-2 เซนติเมตร ยาว 10-20 เซนติเมตร โคนสอบ ปลายแหลมฝักมีสีเขียวเมื่ออ่อนแต่เมื่อแก่แล้วจะมีสีน้ำตาลดำ มีก้านฝักก้านยาว 0.6-1.3 เซนติเมตร ตรงกลางฝักมีรายนอนของเมล็ดเรียงกันเป็นแถวตามแนวยาวของฝักและเมื่อฝักแก่จะแตกตามยาว ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นมีสีขาว โดยจะออกบริเวณง่ามใบและปลายกิ่งประมาณ 1-3 ช่อ มีก้านช่อดอกยาว 2-5 เซนติเมตร และมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร โคนติดกันลักษณะเป็นรูประฆัง ส่วนปลายแยกเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ มีขน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปช้อนยาว 5 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้ 10 อัน เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์กระถิน
กระถินเป็นพัน์ไม้ที่ทนต่อสภาวะอาการได้ดี เจริญเติบโตได้ดีในที่แห้งแล้ว และยังเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพดิน ทนต่อโรคและแมลง เป็นได้โตเร็ว และยังสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการขยายพันธุ์กระถินนั้น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด และการปักชำ แต่วิธีที่นิยมคือ การเพาะเมล็ด โดยวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มชนิดอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของกระถินระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารที่พบในเมล็ดกระถินได้แก่ C-glycosidic 2-propanol derivative , sulphated derivative และ leucenine เป็นต้นอีกทั้งในใบกระถินยังมีสาระสำคัญ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิด อาทิเช่น β-carotene , xanthophyll , Aspartic acid , Glutamic acid , Threonine , Serine , Glycine , Cystine, Alanine , Methionine , Valine , Isoleucine , Phenylalanine, Leucine , Lysine, Histidine , Tyrosine , Arginine เป็นต้น ที่สำคัญในใบกระถินยังมีสารที่มีความเป็นพิษต่อสัตว์ ได้แก่ mimosine และ tannin อีกด้วย นอกจากนี้ยอดอ่อนของกระถินยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนกระถิน (100 กรัม) พลังงาน 62 กิโลแคลอรี ,เส้นใยอาหาร 3.8 กรัม ,คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม, โปรตีน 8.4 กรัม, ไขมัน 0.9 กรัม ,วิตามินA 7,883 หน่วยสากล, วิตามินB1 0.33 มิลลิกรัม, วิตามิน C 2 0.09 มิลลิกรัม, วิตามิน B3 1.7 มิลลิกรัม, วิตามินC 8 มิลลิกรัม, แคลเซียม 137 มิลลิกรัม ,เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม ,ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกระถิน
มีรายงานข้อมูลผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของกระถินทั้งในและต่างประเทศดังนี้ มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าใบกระถินมี b-carotene ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินเอและสาร xanthophyll ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidance) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของ polysaccharides ที่สกัดได้จากเมล็ดกระถินและอนุพันธ์ของ polysaccharides ที่ได้จากการดัดแปลงทางเคมี ได้แก่ C-glycosidic 2-propanol derivative (PE) และ sulphated derivative (SPE) โดยการศึกษาผลของสารเหล่านี้ต่อ raw macrophage 264.7 fumctions (Murine macrophage cell line) และหา antioxidant activity ของสาร ผลที่ได้พบว่า PE. มีประสิทธิภาพในการจับกับอนุมูลอิสระได้แก่ lnydeowyl. Peroxyl และ superoxide เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วและเกิด phagocytosis ของ FITC-zymosan โดย PE ยับยั้งการสร้าง Nitric oxide (NO) และการหลั่ง tumor manrophage 264.7 ส่วน SPE ไปชักนำการสร้าง NO และเพิ่มการหลั่ง TNF-a แสดงให้เห็นว่า PE มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบได้ และ SPE อาจมีบทบาทชักนำ macrophage frnctions ในการต่อต้าน pathogens ได้ และยังมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการต่อต้าน tumor cell ของสารสกัดจากพืชกินได้ในประเทศไทย 112 ชนิด พบว่า สารสกัดจากเมล็ดกระถิน 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ในการยับยั้งการกระตุ้น Epstein-Barr virus ใน human B-lymphoblastoid cells (Raji cells) ที่ถูกชักนำด้วย 12-o-hexadecanoylphorbol-13-acctate ความเข้มข้น 40 นาโนกรัม/มิลลิลิตร ได้ค่อนข้างต่ำ คือ อยู่ในช่วง 30-50% อีกทั้งยังมีสารนำ galactomanmams จากเมล็ด Mimasa scabrella และเมล็ดกระถินที่ผ่านการเติมหมู่ซัลเฟต (Sulfation) มาทดสอบการต่อต้าน yellow fiever virus (BeH111 strain) และ dengae I virus (Hawaii strain) ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้เหลืองและไข้เลือดออก (Type I) พบว่า sulfated palactomannans จากพืชทั้ง 2 ชนิดสามารถลดการตายของหนูที่ได้รับไวรัสทั้งสองชนิดได้ดีในระดับที่ใช้ทดสอบอีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของกระถิน
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
กระถินมีสารพิษที่เรียกว่า mimosine ซึ่งเป็นสารมีโครงสร้างคล้ายกรดอะมิโนไทโรซีนซึ่งมีผลในการยับยั้งการสร้าง โปรตีน และลดการย่อยของโปรตีนได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษเนื่องจากการกินกระถินในคน แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีรายงานว่ากระถินเป็นพืชที่มีคุณสมบัติดูดธาตุซีลีเนียมจากดินมาสะสมไว้ได้มาก ดังนั้นผู้ที่บริโภคกระถินจึงอาจทำให้เกิดพิษเนื่องจากธาตุนี้ได้ หากรับประทานมากจนเกินไป นอกจากนี้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุกส่วนของกระถิน เนื่องจากกระถินจัดเป็นหนึ่งในผักที่มีกรดยูริกสูง ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงได้