1. เห็ด ที่เราทานกันในรูปแบบผักมาตลอดนั้นจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ผักแต่เป็นเชื้อราชั้นสูงที่จัดอยู่ในประเภทของจุลินทรีย์ (Microorganisms)
2. เห็ดไม่ใช่พืช จึงไม่มีสารสีเขียวหรือคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่จะทำให้เห็ดสามารถสังเคราะห์อาหารได้เองเหมือนพืช ในการเพาะเลี้ยงเห็ด จึงต้องมีการเตรียมอาหารไว้เพื่อให้เห็ดเติบโต
2. เห็ดไม่ใช่พืช จึงไม่มีสารสีเขียวหรือคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่จะทำให้เห็ดสามารถสังเคราะห์อาหารได้เองเหมือนพืช ในการเพาะเลี้ยงเห็ด จึงต้องมีการเตรียมอาหารไว้เพื่อให้เห็ดเติบโต
3. เห็ด 1 ดอกมีน้ำเป็นส่วนประกอบสูงถึง 90% และ เป็นน้ำหนักแห้ง 10 % ซึ่งในส่วนของน้ำหนักแห้งนี้คือ โปรตีนไขมัน และ ธาตุอาหารอื่นๆ
4. หากคำนวณจากส่วนที่เป็นน้ำหนักแห้งของเห็ด 10% จะพบว่าใน เห็ดนั้นมีโปรตีนสูง ถึง 19-35%?ซึ่งสูงกว่าโปรตีนที่มีอยู่ในข้าว ส้ม และ แอปเปิ้ล และมีโปรตีนใกล้เคียงกับถั่วเหลืองที่มีโปรตีนประมาณ 39%
4. หากคำนวณจากส่วนที่เป็นน้ำหนักแห้งของเห็ด 10% จะพบว่าใน เห็ดนั้นมีโปรตีนสูง ถึง 19-35%?ซึ่งสูงกว่าโปรตีนที่มีอยู่ในข้าว ส้ม และ แอปเปิ้ล และมีโปรตีนใกล้เคียงกับถั่วเหลืองที่มีโปรตีนประมาณ 39%
5. เห็ดมีองค์ประกอบหลักเป็นเส้นใย (Fiber)ดังนั้นเห็ดจึงเป็นแหล่งอาหารที่ให้เส้นใยสูง และจัดเป็นอาหารที่ย่อยยาก ผู้ที่ระบบการย่อยไม่ดีควรเลี่ยงการทานเห็ด
6. คนที่ดื่มแอลกอฮอลล์หรือของมึนเมาเข้าไปไม่ควรทานเห็ด เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้สารอัลบูมิน ในเห็ดแข็งตัวมากขึ้น ทำให้ย่อยเห็ดได้ยากขึ้น
6. คนที่ดื่มแอลกอฮอลล์หรือของมึนเมาเข้าไปไม่ควรทานเห็ด เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้สารอัลบูมิน ในเห็ดแข็งตัวมากขึ้น ทำให้ย่อยเห็ดได้ยากขึ้น
7. ประเทศจีนเป็นประเทศแรกในแถบเอเชียที่ผลิตเห็ดฟางได้จากการนำฟางเก่าที่เห็ดฟางเคยขึ้นมาสุมทับรวมกองกับฟางใหม่ที่แช่น้ำแล้ว
8. การเพาะเห็ดฟางเลียนแบบภูมิปัญญาชาวจีนที่ค้นพบ เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกโดยคนจีนที่บริเวณ
สะพานซังฮี้ จังหวัดกรุงเทพมหานคร
9. ก่อนจะเรียกชื่อ เห็ดฟาง กันจนติดปากอย่างในปัจจุบัน เห็ดชนิดนี้เคยถูกเรียกว่าเห็ดจีนหรือเห็ดบัวจนติดปากมาก่อน ซึ่งมีที่มาจากการที่ชาวจีนเป็นผู้ค้นพบวิธีการเพาะและเห็ดชนิดนี้ชอบขึ้นบนเมล็ดบัวเก่า
8. การเพาะเห็ดฟางเลียนแบบภูมิปัญญาชาวจีนที่ค้นพบ เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกโดยคนจีนที่บริเวณ
สะพานซังฮี้ จังหวัดกรุงเทพมหานคร
9. ก่อนจะเรียกชื่อ เห็ดฟาง กันจนติดปากอย่างในปัจจุบัน เห็ดชนิดนี้เคยถูกเรียกว่าเห็ดจีนหรือเห็ดบัวจนติดปากมาก่อน ซึ่งมีที่มาจากการที่ชาวจีนเป็นผู้ค้นพบวิธีการเพาะและเห็ดชนิดนี้ชอบขึ้นบนเมล็ดบัวเก่า
10. เห็ดที่นำมาใช้เป็นยา ได้แก่
- เห็ดหัวลิง (Hericium erinaceus)มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน บรรเทาปวดหลังผ่าตัด ยับยั้งเนื้องอก และ รักษาระบบลำไส้
- เห็ดหลินจือ (Ganoderm lucidum)มีส่วนช่วยในการคลายเครียด แก้อ่อนเพลีย ช่วยบำรุงหัวใจและระบบการหายใจ แก้โรคนอนไม่หลับ และ ต้านไข้หวัด
- เห็ดหอม(Lentinus edodus)ใช้เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ป้องกันโรคตับ รักษาเนื้องอก(ใช้ร่วมกับการฉายรังสี) แต่มีผลข้างเคียงทำให้เม็ดเลือดลดลงต่ำ
- เห็ดหูหนูขาว(Themella fuciformis)ช่วยแก้ไอ - หวัด ลดอาการเจ็บปวดเนื่องจากการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอก และมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดได้ถึง 65%
- เห็ดหัวลิง (Hericium erinaceus)มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน บรรเทาปวดหลังผ่าตัด ยับยั้งเนื้องอก และ รักษาระบบลำไส้
- เห็ดหลินจือ (Ganoderm lucidum)มีส่วนช่วยในการคลายเครียด แก้อ่อนเพลีย ช่วยบำรุงหัวใจและระบบการหายใจ แก้โรคนอนไม่หลับ และ ต้านไข้หวัด
- เห็ดหอม(Lentinus edodus)ใช้เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ป้องกันโรคตับ รักษาเนื้องอก(ใช้ร่วมกับการฉายรังสี) แต่มีผลข้างเคียงทำให้เม็ดเลือดลดลงต่ำ
- เห็ดหูหนูขาว(Themella fuciformis)ช่วยแก้ไอ - หวัด ลดอาการเจ็บปวดเนื่องจากการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอก และมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดได้ถึง 65%