สัตว์น้ำจืดขนาดเล็กที่มีความผูกพันกับชาวนาไทยมาอย่างยาวนานก็คือปูนา ไม่ใช่แค่เป็นอาหาร เป็นยา และมีผลต่อการสืบทอดวัฒนธรรมบางอย่างของท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศน์ในท้องนา ว่ากันว่าปูนาเป็นสัญลักษณ์วัดความอุดมสมบูรณ์ของท้องนาได้เลย เมื่อมีปูนาก็จะมีสัตว์น้ำชนิดอื่นที่อาศัยอยู่แบบเอื้อประโยชน์ต่อกัน แร่ธาตุในดินก็ถูกหมุนเวียนและใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นด้วย เดิมทีปูนาจะถูกนำไปทำอาหารพื้นบ้านที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่มีรสชาติอร่อยจนได้รับความนิยม ต่อมาจึงเริ่มแปรรูปและพัฒนาต่อยอดไปอีกหลายทาง ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นก็คือรูปแบบการทำนาสมัยใหม่ส่งผลให้ปูนาลดจำนวนน้อยลงมาก จึงต้องชดเชยด้วยการนำเข้าและทำการเพาะเลี้ยง ซึ่งในส่วนของการเพาะเลี้ยงนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าทีเดียว เพราะนอกจากจะได้รักษาสายพันธุ์ปูนาเอาไว้แล้ว ก็ยังเป็นทางเลือกในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย
ปูนาเป็นปูสายพันธุ์หนึ่งที่พบได้มากตามท้องไร่ท้องนาและแหล่งน้ำตื้นตามธรรมชาติทั่วไป ปูนามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Esanthelphusa spp. และ Sayamia spp. มีรูปร่างเหมือนปูชนิดอื่นๆ แต่มีขนาดค่อนข้างเล็ก สีลำตัวแปรเปลี่ยนไปตามสภาพดินที่อาศัยอยู่ แต่จะเป็นโทนสีเข้มทั้งหมด เช่น สีม่วงเข้ม สีม่วงดำ สีเทา เป็นต้น
จากบันทึกลักษณะเด่นของปูนาของศาสตราจารย์ไพบูลย์ นัยเนตร ที่ได้จากการสำรวจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถสรุปประเด็นสำคัญไว้ได้ดังนี้
บริเวณคันนา คันคลอง และพื้นที่ทางการเกษตรที่มีน้ำท่วมขังบางส่วน เป็นจุดที่สามารถพบปูนาได้มากที่สุด เพราะน้ำและอาหารเป็นองค์ประกอบหลักที่ปูนาใช้เพื่อเลือกที่อยู่อาศัย พวกมันจะขุดรูอยู่ตามดินที่ชื้นแฉะแต่น้ำท่วมไม่ถึง คุณชมพูนุท จรรยาเพศ ให้ข้อมูลว่า รูปูนาจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่และฤดูกาล ช่วงหน้านาที่มีน้ำมากรูปูจะอยู่สูงและมีความเอียงเล็กน้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวที่ท้องนาแห้ง รูปูจะย้ายลงไปอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าเดิมประมาณ 1 เมตร และในหน้าแล้งที่มีอุณหภูมิสูงและมีน้ำน้อยมาก ปูจะยิ่งลงไปลึกกว่าเดิมพร้อมกับปิดปากหลุมด้วยดิน ท้ายที่สุดถ้าทนไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่พื้นที่อื่นแทน
ปูนาเป็นสัตว์ที่สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่สารอินทรีย์ที่อยู่ในก้อนดิน พืชและสัตว์ขนาดเล็กที่หาได้ตามธรรมชาติ เช่น กุ้งฝอย ลูกหอย ลูกปลา ไรน้ำ ต้นอ่อนข้าว ต้นอ่อนหญ้า พืชน้ำ เป็นต้น แม้แต่ปูด้วยกันเองก็เป็นอาหารของปูนาได้เช่นเดียวกัน หากกำลังอยู่ในจังหวะลอกคราบหรือยังเป็นปูวัยอ่อน ทางภาคอีสานมีความเชื่อว่าปูนามีส่วนช่วยให้ท้องนาอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ด้วยวิธีการเลือกกินอาหาร ระบบย่อยและการดูดซึมสารอินทรีย์ของปูนานั่นเอง
ปูนาจะมีช่วงเวลาที่เปลี่ยนจากไข่มาเป็นตัวอ่อนประมาณ 3-5 สัปดาห์ หลังฟักเป็นตัวแล้วจะอาศัยอยู่ติดกับตัวแม่บริเวณจับปิ้งอีกประมาณ 23-35 วัน เมื่อแข็งแรงดีจะเกิดการลอกคราบครั้งแรกแล้วออกมาสู่โลกภายนอก การเจริญเติบโตของปูจะคล้ายกับสัตว์เปลือกแข็งทั่วไป คือร่างกายจะเปลี่ยนขนาดได้ก็ต่อเมื่อเกิดการลอกคราบเท่านั้น ความถี่ในการลอกคราบของปูนาจะลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น แต่พวกมันก็สามารถลอกคราบได้จนกว่าจะตายไป จากเอกสารเชิงวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ระบุว่า ระยะลอกคราบของปูนาจะแบ่งเป็น 4 ระยะ โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งผิวชั้นนอกสุดและสารเคมีภายในร่างกาย ที่เราเห็นว่าปูนาลอกคราบได้ภายในชั่วโมงเดียว ความจริงมีสิ่งที่เกิดขึ้นภายในมาพักใหญ่แล้ว เช่น มีการแยกตัวระหว่างผิวชั้นเก่าออกไป มีการสร้างกระดองใหม่ใต้ชั้นผิวเก่า มีการย่อยสลายพันธะที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นผิวเก่ากับชั้นผิวใหม่ เป็นต้น หลังจากลอกคราบเก่าออกเรียบร้อยแล้ว ตัวปูจะยังนิ่มและย่น พวกมันต้องหลบซ่อนตัวพร้อมกับดูดซับน้ำและอากาศเข้าไปปริมาณมาก เพื่อให้เกราะชั้นนอกยืดตัวและแข็งแรงมากขึ้น
ปูนาจะโตเต็มวัยและพร้อมสำหรับการผสมพันธุ์ภายในช่วงเวลาประมาณ 55 วัน ปูนาจะใช้เวลาในการผสมพันธุ์ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง และปูตัวผู้จะยังคงเกาะติดตัวเมียต่อไปอีก 2-3 วันเพื่อป้องกันอันตราย น้ำเชื้อที่เก็บอยู่ในตัวเมียนั้นสามารถมีอายุไปได้อีก 3-4 เดือน และแต่ละครั้งปูนาจะวางไข่ได้ประมาณ 2000 ฟอง เมื่อผ่านฤดูกาลผสมพันธุ์ไปแล้ว ปูนาเพศผู้แล้วเพศเมียก็จะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง โดยปูเพศผู้จะเร่งหาอาหารบำรุงตัวเองก่อนเข้าสู่ช่วงจำศีลในหน้าหนาวปลายปี ส่วนตัวเมียจะขุดรูใหม่หรือซ่อมรูเก่าให้เหมาะกับการอุ้มท้องต่อไป
จากงานวิจัยของคุณนิภาศักดิ์ คงงามและเพื่อนร่วมทีม เกี่ยวกับความหลากหลายของการใช้ประโยชน์จากปูนา พบว่าปูนาเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาปรุงอาหารหลากหลายประเภท แต่ทั้งหมดนั้นก็สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
นอกจากนี้ยังค้นพบว่าปูนาสามารถนำมาทำยาได้ด้วย โดยแยกได้เป็นยาใช้ภายนอกและยาใช้ภายใน สูตรการปรุงยาจะอ้างอิงตามภูมิปัญญาของชาวบ้านในพื้นที่ ยาบางชนิดมีการผูกเรื่องความเชื่อเข้ามาด้วย อย่างเช่นการท่องคาถาปลุกเสกขณะใช้ยา ตัวอย่างของยาสมุนไพรที่มีปูนาเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ยาอายุวัฒนะ ยาล้างสารพิษ ยาสมานแผล ยารักษาอาการคัน ยารักษาอีสุกอีไส เป็นต้น
ในเมื่อปูนาเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่สามารถสื่อถึงวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นได้ดี และยังมีการใช้ประโยชน์ในด้านอาหารและยาตามตำรับพื้นบ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว
ประเภทของอาหารที่นำมาต่อยอดได้ดีที่สุดก็คืออาหารหมักดอง เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและเราสามารถสร้างมาตรฐานการผลิตที่แน่นอนเพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าได้ จากอาหารพื้นบ้าน 3 ชนิด คือ ปูนาดอง จ่อมปูนา และน้ำปูปรุงรส บางอย่างแทบจะหายสาบสูญไปเหลือไว้เพียงแค่การทำทานกันเองในครัวเรือน และบางอย่างก็ผิดเพี้ยนจากสูตรต้นตำรับไปมาก หลังจากผ่านการวิเคราะห์และทดสอบปัจจัยต่างๆ อย่างครบถ้วนแล้ว จึงสรุปว่าน้ำปูปรุงรสน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำมาพัฒนาได้ดีที่สุด ด้วยมีความเสียหายระหว่างจัดเก็บน้อย แถมยังสร้างจุดเด่นให้เกิดความน่าสนใจได้ง่ายอีกด้วย
ในส่วนของการทำยาจะมีรายละเอียดที่ค่อนข้างลึกซึ้งกว่าด้านอาหาร เนื่องจากมีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เงื่อนไขของการใช้ปูนาเป็นส่วนผสมในสูตรยาจะแตกต่างกันไป ตามแต่ความเข้าใจของคนในพื้นที่นั้นๆ และผลลัพธ์ที่ต้องการจากยาที่ปรุงขึ้นมา ยาบางชนิดจะใช้ปูสดทั้งตัวเพื่อคั้นเอาสารออกฤทธิ์บางชนิด เช่น ยาอายุวัฒนะ ยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น ยาบางชนิดต้องใช้ปูนาต้มสุกและเอากระดองออก หรือบางสูตรก็ใช้แค่ส่วนขาของมันเท่านั้น แนวทางในการต่อยอดสูตรยาต่างๆ จึงไม่ใช่การนำปูนามาปรุงเป็นยาสูตรใหม่ แต่เป็นการนำองค์ความรู้เดิมมาประชาสัมพันธ์ร่วมกับการนำเสนอวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องที่มากกว่า
เมื่อปูนาตามธรรมชาติมีปริมาณลดน้อยลง และเราก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าปูนาที่จับได้มาจะปลอดภัยจากสารเคมีที่ใช้ในงานเกษตรกรรมหรือไม่ จึงเริ่มมีการเลี้ยงปูนาในบ่อเพาะเลี้ยงขึ้นมา ซึ่งรูปแบบการเลี้ยงก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่และความพร้อมของเกษตรกร
การกำหนดจำนวนปูในบ่อเลี้ยงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 อย่าง คือ อายุของปูนาและสถานที่เพาะเลี้ยง โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรได้ให้ข้อมูลพื้นฐานไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ ดังนี้
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปูนาสามารถทำได้หลายวิธี อาจหาจากแหล่งเพาะพันธุ์ที่ทำการพัฒนาสายพันธุ์ปูนาโดยเฉพาะ หรือจะรวบรวมจากแหล่งธรรมชาติในท้องถิ่นก็ได้ อันดับแรกให้เริ่มจากคัดปูนาที่มีขนาดลำตัวประมาณ 4 เซนติเมตรและมีสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี กะจำนวนให้มีปูตัวผู้และตัวเมียเท่าๆ กัน แล้วปล่อยลงในบ่อเพาะพันธุ์ อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่านไปประมาณ 6 สัปดาห์แล้วให้หมั่นสังเกตว่ามีลูกปูเกิดขึ้นในบ่อหรือไม่ ถ้ามีก็รีบแยกแม่ปูออกไปเลี้ยงในบ่อใหม่ คุณศิรินภา บรรเลงสุวรรณกล่าวว่า แม่ปูที่ตั้งท้อง 1 ตัวจะให้ลูกปูได้ 200-600 ตัว และหลังคลอดแล้วจะต้องเลี้ยงที่บ่อเดิมต่อไปอีก ดังนั้นควรจัดเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอกับลูกปูที่จะเกิดมาด้วย ลูกปูเหล่านี้สามารถจับขายเพื่อไปเป็นวัตถุดิบแปรรูปได้ตั้งแต่อายุครบ 3 เดือน แต่ถ้าต้องการเลี้ยงไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์รุ่นต่อไปก็ต้องดูแลกันต่อไปอีก 3 เดือน
ในช่วงที่รอการผสมพันธุ์เราจะให้อาหารปูนาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยสลับสับเปลี่ยนประเภทอาหารไปเรื่อยๆ เช่น ข้าวสุก เนื้อปลาสับ กุ้งฝอย ผักสด ผลไม้รสหวาน เป็นต้น แต่ถ้าให้เป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูปแบบเดียวกับที่เราใช้เลี้ยงปลาและกบ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นให้อาหารวันละครั้งแทน สิ่งสำคัญคืออย่าให้อาหารมากเกินไป และต้องคอยตรวจสอบพร้อมกำจัดเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ในบ่อเป็นประจำทุกวัน ส่วนอาหารของลูกปูนานั้นจะต่างออกไป เราใช้เป็นอาหารสดจำพวก ไรแดง หนอนแดง หนอนเทา หรือไข่ตุ๋นในระยะ 15 วันแรก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารแบบเดียวกับที่ใช้เลี้ยงปูนาโตเต็มวัย
เทคโนโลยีการเลี้ยงปูนาเลียนแบบธรรมชาติ, ผศ.ดร.นิภาศักดิ์ คงงาม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.
รู้หลัก รู้จักเลี้ยง “ปูนา” ด้วยความรู้, สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร.
การเลี้ยงปูนาในบ่อซีเมนต์, สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
เทคนิคการเลี้ยงปูนา, สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองอุดรธานี.
และ เกษตรทูเดย์