หอยทากยักษ์แอฟริกา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Achatina fulica เป็นหอยทางบกขนาดใหญ่ ไม่มีฝาปิด เป็นหอยทากต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามาในไทยมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยญี่ปุ่นเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเสบียงอาหาร เพราะเลี้ยงง่ายมาก โตเร็ว แพร่ขยายพันธุ์ง่าย จนแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ มาจนถึงในปัจจุบัน สามารถพบหอยทากยักษ์แอฟริกาได้เกือบทุกประเทศทั่วโลก
หอยทากยักษ์แอฟริกามีถิ่นกำเนิดในฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา และได้ถูกนำเข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นอาหาร หรือการนำเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้ปัจจุบันพวกมันกลายเป็นหนึ่งในสัตว์รุกรานจากต่างถิ่นที่ควบคุมยากที่สุดในโลก
จากข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ หอยทากยักษ์แอฟริกา สามารถนำมากินได้ ตามที่ได้เคยบอกไว้แล้วในช่วงแรก ๆ แล้วว่า แต่เดิมนั้น ถูกนำมาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร เพราะเนื้อหอยทากยักษ์มีปริมาณโปรตีนสูงเกือบ 70%
ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีของคนและสัตว์ได้ เนื้อนุ่ม รสชาติดี เป็นที่นิยมรับประทานในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยไม่ค่อยนิยมกินกันนะครับ (*แต่.. "ต้องทำให้สุกก่อนรับประทาน" เท่านั้น! ต้องระวังให้ดี ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะในตัวหอยทากยักษ์แอฟริกา อาจมีพยาธิตัวกลม ที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ )
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ "หอยทากยักษ์แอฟริกา" แพร่ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก ก็คือ หอยทากยักษ์แอฟริกา สามารถวางไข่ได้ทุกตัว เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน (hermaphrodite) แต่ต้องมีการผสมพันธุ์กับตัวอื่นด้วย
โดยจะวางไข่ในดินบริเวณที่มีความชื้นสูง โดยจะขุดโพรงลงไปวางไข่ประมาณ 100-400 ฟอง กองไว้ตามซอกใต้กองเศษใบไม้ ใต้ผิวดิน หรือใต้วัสดุต่าง ๆ ได้อีก เช่น ใต้กองขยะ ใต้รากไม้ ใต้ขอนไม้ผุ หรือใต้กองอิฐ โดยสามารถออกไข่เกือบตลอดทั้งปี
หอยทากยักษ์แอฟริกา มีนิสัยชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณที่ชื้นๆ ตามกอพุ่มไม้ ต้นไม้ หรือใบไม้ปกคลุมและมีความชื้นสูง ซึ่งสามารถปรับตัวให้อาศัยได้หลากหลาย อยู่ง่ายกินง่าย ส่วนมากออกหากินในเวลากลางคืน
หากินอาหารได้หลากหลาย ทั้งซากใบไม้เน่าเปื่อย ใบไม้ ต้นอ่อน ยอดอ่อน รากอ่อน โดยเฉพาะพวกพืชผักกินใบต่างๆ พืชผักกินผล และผลไม้สุกต่างๆ
รวมไปถึงพืชกินหัวเช่น แครอทและมันแกว จะชอบกินมากเป็นพิเศษ จึงกลายเป็นศัตรูทางการเกษตรที่สำคัญ แต่หากลองสังเกตก็จะพบว่า หอยทากยักษ์แอฟริกา ไม่ค่อยชอบกินพืชผักที่มีกลิ่นในตัว เช่น ต้นหอม ใบสะระแหน่ และใบบัวบก เป็นต้น
ดังนั้น ในการป้องกันการแพร่ระบาด ของหอยทากยักษ์แอฟริกา จึงต้องคอยหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมให้สะอาด ไม่มีเศษซากใบไม้ ผลไม้ ที่จะเป็นแหล่งอาหารของหอยทากยักษ์แอฟริกาได้ และการจับเก็บหอยทากยักษ์แอฟริกา ไปปล่อยทิ้งหรือไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นต่อไป
บทความ ภาพประกอบจาก
กรมประมง
น้ำเมือกหอยทาก กับคุณสมบัติในทางยาและเครื่องสำอาง
รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : http://m.blog.hu/sh/ sheabouteverything/skins/ garden-snail-helix-aspersa.jpgคำนำ
น้ำเมือกที่ปกคลุมตัวหอยทาก (Snail Helix Aspersa) มีคุณสมบัติมากมายซ้อนอยู่ มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เพื่อลดอาการอักเสบของผิวหนังนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความสนใจการการเคลื่อนที่ของหอยทากในธรรมชาติ การเคลือบคลานของตัวหอยทากบนพื้นดินหรือพื้นหินที่ขรุขระและหยาบโดยไม่ทำให้หอยทากบาดเจ็บแม้แต่น้อย และยังสามารถต้านฝุ่นละอองและเชื้อจุลินทรีย์ในสภาวะต่างๆได้ด้วย
ในปี ค.ศ.1959 นักวิทยาศาสตร์ ทำการวิจัยผนังของตัวหอยทาก และพบองค์ประกอบของ คอลลาเจน และมิวโคโพลีแซคคาไลด์ ซึ่งอุดมไปด้วยอมิโนแอซิด เช่น ไกลซิน โปรลีน และ กลูตามิคแอซิด ต่อมาในปี 2006 องค์ประกอบดังกล่าวถูกค้นพบว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของการรักษาแผลอักเสบของผิวหนัง นอกจากนั้นยังพบว่า มีการพัฒนาเป็นยาน้ำเชื่อมผสมน้ำเมือกหอยทากเพื่อเคลือบและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร และเมื่องานวิจัยได้แพร่ออกไป มีผู้คนสนใจการบริโภคหอยทากเป็นๆมีชีวิต เพื่อให้ตัวหอยหลั่งน้ำเมือกสดในกระเพาะอาหารเพื่อต้องการประโยชน์ของการรักษาอีกด้วย
น้ำเมือกหอยทาก
ปี ค.ศ.2003 นักวิทยาศาสตร์ (JM Pawlicki et) วิจัยองค์ประกอบน้ำเมือกหอยทาก พบว่ามีทั้งส่วนที่ทำหน้าที่เป็นกาวเหนียวเพื่อให้ขาและตัวหอยได้ยึดเกาะแน่นเมื่อคลานหรือไต่ไปตามที่สูงชัน และองค์ประกอบอีกส่วนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นกาว น้ำเมือกที่หลั่งจากส่วนหาง จะประกอบด้วย น้ำ 95% มีคุณสมบัติเป็นสารหล่อลื่นและปกป้องโดยเคลือบตัวหอยทากเพื่อไม่ให้บาดเจ็บในทุกพื้นผิว องค์ประกอบส่วนที่เป็นกาวเหนียว เมื่อนำมาวิจัย พบว่าประกอบไปด้วยโปรตีนชนิด "glue proteins" ที่เข้มข้น ซึ่งโปรตีนชนิดนี้นับว่าสำคัญในการใช้ประโยชน์ทางการรักษาในปัจจุบัน
องค์ประกอบทางเคมี
การนำน้ำเมือกหอยทากมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ จึงไม่ใช่ของใหม่ ปี ค.ศ. 1980 ชาวนา ชิลี ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงหอยทากส่งภัตตาคารที่ฝรั่งเศส พบโดยบังเอิญว่า มือของเค้านุ่มและลื่นขึ้นอย่างมากจากการที่ต้องจับและสัมผัสตัวหอยทากทุกวัน และสังเกตุว่าถ้ามีบาดแผลที่มือ จะหายอย่างรวดเร็วโดยไม่อักเสบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครื่องสำอางทำการศึกษาวิจัยน้ำเมือกหอยทากอย่างจริงจัง
วิธีทดลองใช้ครีมหอยทาก
แพทย์ผิวหนัง แนะนำว่า ผู้ที่จะทดลองใช้ครีมหอยทาก ควรเป็นผู้ที่ผิวไม่แพ้ง่าย เพราะเป็นสารสกัดที่มีเอนไซม์จากสัตว์ อาจทำให้ผิวแพ้ง่ายบางคนแพ้เป็นผื่นได้ และควรเริ่มต้นทาบริเวณคอในบริเวณเล็กๆ ทิ้งไว้ 15-30 นาที ถ้าไม่มีอาการแดงหรือแพ้ ค่อยทาในบริเวณกว้างต่อไป
เอกสารอ้างอิง
เมื่อก่อนมีแต่คนรังเกียจหอยทาก พบที่ไหนเขี่ยทำลายทิ้งที่นั่น แต่เมื่อรู้ว่าเมือกหอยทากมีประโยชน์นำมาผลิต เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางชั้นเยี่ยมได้ หอยทาก…สัตว์โลกวิถี “สโลว์ไลฟ์” สายพันธุ์นี้เลยกลายเป็นที่สนใจให้ชาวบ้านหลายพื้นที่หันมาเลี้ยงเป็นอาชีพ
นำหอยทากพันธุ์อาช่า (Achatina fulica) ตัวใหญ่ให้ปริมาณเมือกมาก ที่จับมาจากแหล่งธรรมชาติในพื้นที่ อ.บ้านนา มาปล่อยเลี้ยงในวงบ่อซีเมนต์ บ่อละ 250 ตัว
แต่ครั้งแรกต้องนำกระดาษทิชชูใส่ลงไปให้หอยทากเกาะ นาน 1 สัปดาห์ เพื่อคลายพิษที่อาจติดมาจากธรรมชาติ…จากนั้นใช้ผักโขม ตำลึง หรือน้ำเต้า เป็นอาหารเลี้ยงหอยทากเมื่อเลี้ยงไปได้ 7 วัน ทุกเช้าจะคัดเลือกหอยทากตัวที่คายเมือกออกมาก เพราะแสดงถึงความสมบูรณ์ นำตัวหอยมาทำความสะอาด แล้วใช้แท่งแก้วจุ่มน้ำสะอาดเขี่ยเบาๆบริเวณปากหอย กระตุ้นให้หอยทากสร้างและคายเมือกออกมา
หอยทาก 1 ตัว สามารถรีดเมือกได้ 1 ซีซีต่อครั้ง ติดต่อกันนาน 12 วัน จากนั้นต้องให้หอยทากพัก 20 วัน เพื่อให้ร่างกายสะสมเมือกใหม่…ส่วนเมือกที่ได้จะรวบรวมแช่เย็น ส่งขายให้กับบริษัทเอกชน