ชื่อสมุนไพร สะเดาดิน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักขวง (ภาคกลาง), ผักขี้ขวง, ผักสีเสียด (ภาคเหนือ), ผักขี้ขวง (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glinus opposite folius (L.) Aug.DC.
ชื่อสามัญ Bitter leaf.
วงศ์ MOULLUGINACEAE
สะเดาดิน จัดเป็นพืชประจำถิ่นของไทยอีกชนิดหนึ่ง โดยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย ได้แก่ ในไทย ลาว กัมพูชา อินเดีย และปากีสถาน เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เช่น ในเซเนกัล ไปจนถึงตอนใต้ของ ไนจีเรีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบสะเดาดิน ได้ทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากทางภาคเหนือ บริเวณริมลำธาร ข้างนา และสนามหญ้าทั่วไป ที่เป็นดินร่วนปนทราย ที่มีความชื้นในพื้นที่จากระดับน้ำทะเล ไปจนถึง 350 เมตร
นอกจากนี้สะเดาดิน ยังจัดอยู่ในตำรายาที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์ธาตุวิวรณ์, คัมภีร์โรคนิทาน และคัมภีร์ปฐมจินดา เป็นต้น
ในชนบทโดยเฉพาะภาคเหนือมีการนำสะเดาดินมาใช้รับประทาน โดยนำมาใช้ประกอบอาหารต่างๆ เช่น ใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก หรือ รับประทานร่วมกับลาบ ซึ่งจะให้รสขมมาก แต่หากต้องการลดความขมก็นำมาลวกน้ำร้อนใส่เกลือลงไปนิดหน่อย นำมาใช้เป็นผักลวกจิ้มน้ำพริก หรือ อาจนำมาแกงใส่ปลาย่าง แกงส้มปลาใส่น้ำมะขามเปียก แกงใส่แหนม ใส่ไข่ หรือ ใช้ทำเป็นผักชุบแป้งทอดกรอบก็ได้
สะเดาดิน จัดเป็นพันธุ์ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีลำต้นเตี้ย ลักษณะกลมมีสีน้ำตาลอ่อนทอดเลื้อยแผ่แขนงราบไปกับพื้นดิน โดยมักจะแตกกิ่งก้านสาขาแผ่กระจายออกไปรอบๆ ต้น
ใบสะเดาดิน เป็นใบเดี่ยว ขนาดเล็กกว้าง 0.3-0.5 เซนติเมตร ยาว 1-2.5 เซนติเมตร แตกใบออกตามข้อต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี โคนใบสอบ ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ โดยในแต่ละข้อจะมีใบอยู่ประมาณ 4-5 ใบ สะเดาดินแผ่นใบบางมีสีเขียว มีรสขมและมีก้านใบสั้น
ดอกสะเดาดิน เป็นดอกเดี่ยวมักจะออกรวมกัน บริเวณข้อของลำต้นใกล้ๆ กับใบโดยในข้อหนึ่งจะมีดอก 4-6 ดอก ซึ่งดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาวอมเขียว แต่ละกลีบมีขนาดยาวประมาณ 0.3 เซนติเมตร และจะมีก้านดอกยาว 0.6-1.2 เซนติเมตร
ผลสะเดาดิน เป็นผลแห้งรูปยาวรี มีขนาดยาว 0.2 เซนติเมตร แก่จะแตกออกเป็น 3 แฉก ด้านในมีเมล็ดขนาดเท่ากับเม็ดทรายอยู่จำนวนมาก โดยเมล็ดจะมีสีน้ำตาลแดง
สะเดาดินสามารถขยายพันธุ์ได้ โดยการใช้เมล็ด ทั้งนี้ในปัจจุบันไม่นิยมปลูกสะเดาดิน เนื่องจากเป็นพืชที่ออกดอกและติดผลตลอดทั้งปี อีกทั้งยังขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จนในบางพื้นที่ได้กลายเป็นวัชพืชไปแล้ว ดังนั้นการขยายพันธุ์ของสะเดาดิน จึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเป็นส่วนมาก ทั้งนี้สะเดาดินเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ชอบแสงแดดตลอดทั้งวัน และยังทนแล้งได้ดีอีกด้วย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดที่สกัดจากส่วนต่างๆ ของสะเดาดิน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ สารกลุ่ม flavonoids เช่น vitexin, adenosine, L-phynylalanine และ kaempfevol-3-0-galacto pyranoside สารกลุ่ม triterpenoids เช่น scualene, oppositifolone และ lutein สารกลุ่ม sterols เช่น stigmasterol, spinasterol และ β-sitosterol
นอกจากนี้ยังพบสารออกฤทธิ์ในน้ำมันหอมระเหย เช่น cinnamic acid, vanillin, trans-ferulic acid, acetosyringone และ 4-hydroxybenzoic acid เป็นต้น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสะเดาดิน ระบุว่าสารสกัดสะเดาดิน จากส่วนต่างๆ ของสะเดาดินมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของสะเดาดิน โดยได้ทำการทดสอบกับเชื้อ Bacillus subtilis ไปจนถึง Blastomyces dermatitidis และ Candida albicans พบว่าสารสกัดดังกล่าว มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในปริมาณต่ำถึงปานกลางและเมื่อทดสอบกับสารสกัดจากเอทานอล พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ Salmonella typhi และ Pseudomonas aeruginosa ส่วนสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus และ Pityrosporum ovale
ฤทธิ์ต้านเชื้อรา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดไดคลอโรมีเทนจากทุกส่วนของสะเดาดิน เมื่อถูกนำไปทดสอบกับเชื้อ Candida albicans โดยได้ทำการทดสอบ MTT ผลปรากฏว่าสารสกัดดังกล่าวแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อรา Candida albicans
ฤทธิ์ปกป้องตับ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย ระบุว่าเมื่อใช้คาร์บอนเตตระคลอไรด์เพื่อกระตุ้นให้ตับหนูทดลองเสียหาย จากนั้นจึงทำการป้อนสารสกัดเมทานอลจากรากของสะเดาดินทางปาก จากนั้นจึงอ่านค่าของระดับ SGPT, SGOT และบิลิรูบิน พบว่าสารสกัดดังกล่าวช่วยเพิ่มการฟื้นตัวจากความเสียหายของตับได้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบและระงับปวด มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดน้ำและเอธานอลของสะเดาดิน แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบ และสารสกัดดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงการลดอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าและการตอบสนองของช่องท้องที่หดตัว ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลมีศักยภาพในการต้านการอักเสบมากกว่าสารสกัดน้ำ และยังมีรายงานว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีลักษณะเฉพาะคล้ายกับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAID) อีกด้วย
ฤทธิ์ต้านอาการท้องเสีย มีการทดสอบโดยนำสารสกัดเมทานอลและโลเปอราไมด์จากส่วนเหนือดินของสะเดาดินในปริมาณ 500 มก./กก. และ 3 มก./กก. มาใช้ป้อนให้กับหนูทดลองที่ทำให้เกิดภาวะท้องเสีย ผลการทดลองพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์จำนวนอุจจาระทั้งหมดและจำนวนอุจจาระเหลวได้ถึง 86%
ไม่มีข้อมูล
ในการใช้สะเดาดิน เป็นสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้ เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้