สะเดา (Azadirachta indica) หรือที่คนไทยคุ้นเคยว่า “ผักขม” ในบางพื้นที่ เป็นต้นไม้ที่พบได้ง่ายในชุมชนและสวนหลังบ้าน แม้รสชาติจะขมจนหลายคนอาจหลีกเลี่ยง แต่ข้อมูลทางโภชนาการและงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นชี้ว่า สะเดามีสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน
ยอดสะเดาและใบอ่อนเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดที่สำคัญ ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ), วิตามินซี, แคลเซียม และธาตุเหล็ก นอกจากนี้ยังมีสารพฤกษเคมี (phytochemicals) หลายชนิด เช่น นิมบิดิน (nimbidin), นิมบิน (nimbin), นิมโบไลด์ (nimbolide) และสารกลุ่มอัซาดิรักติน (azadirachtin) ซึ่งเป็นสารที่ถูกศึกษาว่าให้ฤทธิ์ทางชีวภาพหลายรูปแบบ
งานวิจัยจากการทดลองในสัตว์และการศึกษาทบทวนพบว่าการให้สารสกัดจากสะเดา (ทั้งใบและเมล็ด) มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด (hypoglycemic effect) และมีแนวโน้มจะเพิ่มการตอบสนองของอินซูลิน ซึ่งทำให้สะเดาถูกนำมาศึกษาในบริบทของการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน อย่างไรก็ตาม ผลในมนุษย์ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมก่อนสรุปข้อแนะนำเชิงการรักษาอย่างเป็นทางการ
สารสกัดจากสะเดามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับคราบพลัคและฟันผุ เช่น Streptococcus mutans งานวิจัยชิ้นเล็ก ๆ และการทดลองในห้องปฏิบัติการชี้ว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่มีส่วนผสมของสะเดาอาจช่วยลดคราบพลัคและการอักเสบของเหงือกได้ใกล้เคียงกับสารมาตรฐานบางชนิด
งานทดลองในสัตว์ระบุว่าสารบางชนิดในสะเดา เช่น nimbolide และ azadirachtin มีการแสดงฤทธิ์ปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหายที่เกิดจากสารพิษ และช่วยฟื้นฟูระบบต้านอนุมูลอิสระของตับ แต่หลักฐานส่วนใหญ่ยังมาจากการทดลองในสัตว์ จึงควรตีความอย่างระมัดระวัง.
สะเดามีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านเชื้อรา จึงถูกนำมาใช้ทั้งในรูปแบบน้ำมันสกัดและสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว การรับประทานสะเดาและการใช้ภายนอกอาจช่วยลดการอักเสบและปัญหาผิวบางประเภทได้ แต่ผลจะแตกต่างกันไปตามสูตรและความเข้มข้นของสารสกัด
งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าสารในสะเดา เช่น โพลีแซคคาไรด์และลิโมนอยด์ อาจมีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิด ทำให้มีการตอบสนองต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น แต่สำหรับคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
สะเดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีองค์ประกอบทางโภชนาการและสารพฤกษเคมีที่น่าสนใจ เหมาะจะถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูหลากหลาย แต่หากต้องการใช้สะเดาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ (เช่น ควบคุมเบาหวานหรือรักษาโรคผิวหนัง) ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อป้องกันปฏิกิริยากับยาหรือผลข้างเคียงที่ไม่คาด
สำนวนไทยที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ใช้ได้ดีกับสะเดา — รสขมที่หลายคนหลีกเลี่ยง อาจเป็นกุญแจของสรรพคุณทางสุขภาพที่ซ่อนอยู่ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและยึดหลักความปลอดภัยเป็นสำคัญ