อาจารย์ ดร.บัญชา ทองมี คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับโครงการเครือข่าย สวทช.ภาคเหนือ ได้รวบรวมไว้ว่า กุ้งฝอยเป็นกุ้งน้ำจืดขนาดเล็กมีชื่อสามัญว่า Lanchester, s Freshwater Prawn และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrobrachium lanchesteri ,de Man ลูกฝอยกุ้งขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายลูกกุ้งก้ามกรามมาก แต่มีลักษณะเด่นที่สามารถแยกระหว่างลูกก้ามกรามและกุ้งฝอยได้คือ กรีของกุ้งฝอยมีลักษณะตรง ด้านบนมีฟันหยัก 4-7 ซี่ ด้านล่าง 1-2 ขณะที่กรีของกุ้งก้ามกรามมีลักษณะโค้งขึ้น มีฟันหยักด้านบน 12-15 ซี่ลูกกุ้งฝอยและกุ้งฝอยตัวเต็มวัยมีลักษณะลำตัวใส ซึ่งจะช่วยในการพรางตัว ป้องกันศัตรูธรรมชาติได้ดี ทั้งยังมีประสาทรับกลิ่น (กุ้งหาอาหารโดยใช้กลิ่นเป็นหลัก) มีขาเดิน 5 คู่ บริเวณด้านล่างของส่วนอก ขาเดินคู่ที่ 1 และ 2 บริเวณส่วนปลายจะมีลักษณะเป็นก้ามหนีบ โดยก้ามหนีบคู่ที่ 2 จะมีขนาดโตกว่าไว้สำหรับจับอาหารเข้าปาก บริเวณลำตัวมีลักษณะเป็นปล้อง ๆ มีทั้งหมด 6 ปล้อง บริเวณด้านล่างของปล้องที่ 1-5 จะมีขาว่ายน้ำ ปล้องละ 1 คู่ กุ้งฝอยไม่มีถุงลมช่วยในการลอยตัวเหมือนในปลา การเคลื่อนที่สามารถใช้ขาว่ายน้ำว่ายไปด้านหน้าหรือถอยหลัง งอตัวดีดออกไปในทิศทางต่าง ๆ กุ้งฝอยสามารถพบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำจืดทั่วทุกภาคของประเทศไทย ชอบซ่อนตัวตามใต้ก้อนหิน หรือเกาะตามพรรณไม้น้ำ ชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งหรือน้ำไหลเอื่อย ๆ ที่มีลักษณะขุ่นมีระดับน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร มีอินทรียวัตถุทับถมกัน โดยกุ้งฝอยกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์แต่ชอบกินของเน่าเปื่อยเป็นอาหาร ชอบออกหาอาหารเวลากลางคืนแต่สามารถกินอาหารในช่วงกลางวัน หากปริมาณออกซิเจนต่ำการกินอาหารจะลดลง
กุ้งฝอยตัวเต็มวัยจะสามารถแยกเพศได้ง่าย โดยกุ้งฝอยเพศเมียจะมีส่วนอวัยวะเพศใต้ท้องมีสีเขียว และดูได้จากด้านในของขาเดินคู่ที่ 3 มีช่องเปิดของไข่ และขาเดินคู่ที่ 5 มีช่องเปิดสำหรับ ส่วนกุ้งฝอยเพศผู้ เปลือกที่หัวจะมีสีขุ่นออกเหลือง และเพศผู้จะมีติ่งยื่นออกมาจากขาว่ายน้ำคู่ที่ 2 ส่วนขนาดลำตัวจะพบเพศเมียมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้ มีช่องเปิดสำหรับเก็บน้ำเชื้อ ตัวผู้ตรงบริเวณส่วนปลายของขาว่ายน้ำคู่ที่ 2 จะมีลักษณะเป็นแผ่น 2 แผ่น โดยมีติ่งยื่นออกมา 1 ปีเรียก appendix interna เพศผู้ดูได้จากด้านในของขาเดินคู่ที่ 5 เป็นปุ่มสำหรับเป็นที่เปิดของน้ำเชื้อตัวผู้บริเวณส่วนปลายของขาว่ายน้ำคู่ที่ 2 จะเป็นลักษณะเป็นแผ่น 2 แผ่นมีติ่งยื่นออกมา 2 ติ่งเรียกว่า appendix musculina และลักษณะอื่น ๆ ที่พอจะแยกกุ้งฝอยและเพศผู้และเพศเมียได้คือ บริเวณส่วนหัวของกุ้งฝอยเพศผู้ มีสีน้ำตาลเหลืองส่วนในเพศเมียมีสีเขียว กุ้งตัวผู้จะมีขนาดเล็กรูปร่างเพรียวส่วนเพศเมียจะมีขนาดโตกว่ารูปร่างค่อนข้างป้อม (บัญชา ทองมี, 2555)
กุ้งฝอยเพศเมียจะเริ่มมีไข่และผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 60 วันขึ้นไป จะสร้างไข่เก็บไว้ในถุงเก็บไข่ กุ้งเพศผู้จะพยายามติดตามกุ้งเพศเมียตลอดเวลา หลังจากกุ้งเพศเมียลอกคราบภายใน 3-6 ชั่วโมง ขณะที่เปลือกของกุ้งเพศเมียยังอ่อนอยู่จะมีการผสมพันธุ์กัน โดยกุ้งเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อที่อยู่ในถุงเก็บน้ำเชื้อที่อยู่บริเวณ โคนขาช่วงที่ 5 ปล่อยน้ำเชื้อในถุงเก็บน้ำเชื้อเพศเมียเพื่อผสมกับไข่ ไข่ที่ผสมแล้วจะเคลื่อนไปอยู่ในส่วนล่าง ของท้องบริเวณขาว่ายน้ำ กุ้งเพศเมียจะมัดโบกขาว่ายน้ำตลอดเวลาเพื่อให้ไข่ได้รับออกซิเจน แม่กุ้งฝอยขนาดยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร จะมีไข่ประมาณ 200-250 ฟอง หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 3 วัน ไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและสีเหลือง ต่อมาอีก 7-9 วัน จะมองเห็นตัวอ่อนอย่างชัดเจน หลังจากนั้นไข่ในท้องแม่กุ้งฝอยจะเปลี่ยนเป็นสีเทาและฟักออกมาเป็นตัวเมื่ออายุ 21-25 วัน และตัวเต็มวัย 30-35 วัน (บัญชา ทองมี, 2555)
ธรรมชาติของกุ้งฝอยจะชอบซ่อนตัวตามใต้ก้อนหิน หรือเกาะตามพรรณไม้น้ำ ชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งหรือน้ำไหลเอื่อย ๆ ที่มีลักษณะขุ่นมีระดับน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร แต่ในปัจจุบันเกษตรกรได้นำกุ้งฝอยมาทำการเพาะเลี้ยงในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงแบบบ่อดินและบ่อซีเมนต์ แต่ส่วนใหญ่จะเลือกเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ที่สะดวกและดูแลได้ง่ายกว่า
ปล่อยพ่อแม่พันธุ์กุ้งฝอยในบ่อดินในอัตรา 25-50 ตัวต่อรางรางเมตรให้อาหารที่มีระดับโปรตรีน 35% ตามสูตรที่กล่าวไว้ในหน้าท้ายสุด ผลผลิต 20-30 กิโลกรัม/บ่อ 1 งาน / 3 เดือน หรือรายได้ประมาณ 6,000-9,000 บาท/บ่อ 1 งาน / 3 เดือน (ราคากุ้งฝอยกิโลกรัมละ 300 บาท)
นำพ่อแม่พันธุ์กุ้งฝอยที่มีอายุตั้งแต่สองเดือนครึ่งเป็นต้นไป ปล่อยแบบคละเพศและขนาด ในบ่อดินหรือกระชังในอัตรา 25-50 ตัวต่อตารางเมตรเพื่อให้แพร่ขยายพันธุ์ลูกกุ้งลงในบ่อเลี้ยงโดยตรงข้อดีคือจัดการง่าย แม่พันธุ์กุ้งสามารถผลิตลูกกุ้งได้ตลอดปี ข้อเสียคือได้ผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำเนื่องจากขนาดของกุ้งที่แตกต่างกันมากอาจเกิดการกินกันเอง การแก้ไขต้องทยอยจับกุ้งออกอย่างสม่ำเสมอ วิธีที่สองจะนำเฉพาะลูกกุ้งที่ได้จากการเพาะฟัก อาจจะอนุบาลจนมีอายุ 1 เดือนลงเลี้ยง วิธีนี้จะมีการจัดการที่ยุ่งยากกว่าเนื่องจากต้องเพาะและอนุบาลลูกกุ้งจนถึงระยะกุ้งคว่ำ แต่จะมีผลผลิตที่ได้จะสูงกว่าวิธีแรก

รวบรวมกุ้งเพศเมียจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวนประมาณ 80-100 ตัว แล้วนำมาพักไว้ในกระชังอย่างน้อย 1 คืน คัดเลือกเฉพาะกุ้งเพศเมียที่มีไข่แก่ มองเห็นตาของลูกกุ้งในท้อง เพาะฟักในตะแกรงที่แขวนไว้ในกระชังผ้า ขนาด 1×1 เมตรในบ่อซีเมนต์ ให้อาหารสำเร็จรูปที่มีโปรตีน 33% ให้อาหารประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว แบ่งให้ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ประมาณ 3-4 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นตัว แยกแม่กุ้งออกจากกระชังแล้วคัดลูกกุ้งที่มีขนาดเดียวกันเพื่อสะดวกในการจัดการเพาะเลี้ยง นำลูกกุ้งที่ได้ไปอนุบาลในกระชังผ้าโอล่อนแก้วประมาณ 50,000 ตัวในบ่อขนาด 1×1 เมตร สัปดาห์แรกให้ไข่แดงต้มสุกเป็นอาหาร สัปดาห์ที่ 2-4 ใช้ไรน้ำจืดขนาดเล็กเป็นอาหาร จากนั้นจึงให้อาหารสำเร็จรูปชนิดผงเป็นอาหารที่มีโปรตีน 40% ให้อาหารในปริมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ระยะนี้ต้องระมัดระวังขาข่ายไม่ให้อุดตัน ควรใช้แปรงขนาดเล็กขนอ่อนทำความสะอาดบ่อยครั้ง ใช้เวลาอนุบาลเป็นเวลา 1 เดือนจึงนำไปเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ได้
การเตรียมบ่อซีเมนต์ ทำความสะอาดบ่อด้วยปูนขาว ตากทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ กั้นคอกล้อมบ่อด้วยอวนพลาสติกสีฟ้าเพื่อป้องกันศัตรู เติมน้ำในบ่อโดยผ่านการกรองด้วยผ้าตาถี่ เพื่อป้งกันไข่ปลา และลูกปลาขนาดเล็ก ๆ เล็ดลอดลงไปในบ่อกุ้ง เติมน้ำสูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยขี้ไก่อัตรา 60-120 กิโลกรัมต่อไร่ ทิ้งไว้ 3-4 วัน รอจนน้ำเริ่มสีเขียวจึงเติมน้ำจนได้ระดับ 1 เมตร จากนั้นจึงนำลูกกุ้งที่อนุบาลมาแล้วประมาณ 1 เดือนปล่อยลงในบ่อ อัตรา 30,000-50,000 ตัว เลี้ยงประมาณ 2 เดือนก็สามารถจับขายได้ มีอัตรารอด 80% ที่สำคัญการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ควรช่วยการหายใจด้วยระบบการเติมออกซิเจนด้วย
รวบรวมและคัดเลือกแม่กุ้งไข่แก่สีเทาใส (ระยะมีตา) จากบ่อดิน กระชังหรือจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวน 80-100 ตัว ใส่ในตะแกรงพลาสติกที่แขวนไว้ในกระชังฟักไข่ผ้าโอล่อนแก้วขนาด 1x1x1 ลบ.ม. ที่เตรียมไว้ในบ่อซีเมนต์หรือบ่อดิน ให้อาหารเม็ดสำเร็จรูประดับโปรตีน 35% แก่แม่กุ้งฝอย โดยใส่ในภาชนะรูปจานยกของสูงป้องกันอาหารตกลงในกระชังฟักไข่ แบ่งให้อาหาร 2 ครั้งเช้าและเย็น ประมาณ 3-5 วันไข่จะฟักออกเป็นตัวคัดแยกแม่กุ้งที่วางไข่แล้วออกไป รวบรวมลูกกุ้งที่มีอายุรุ่นเดียวกันหรืออายุที่แตกต่างไม่เกิน 3 วันไปไว้ในกระชังอนุบาลคอกที่กั้นด้วยอวนสีฟ้า หรือกระชังอวนสีฟ้าที่กางไว้ในบ่อดิน
บ่อเลี้ยงกุ้งฝอยมีขนาดตั้งแต่ 1 งานถึง 1 ไร่ ควรเป็นบ่อที่สามารถถ่ายเทน้ำได้ดี ก่อนการเลี้ยง ควรตากบ่อให้แห้ง ถ้าเป็นบ่อเก่าให้ปรับสภาพโดยการใช้ปูนขาว 60 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นเติมน้ำเข้าบ่อ ระดับน้ำลึก 30-40 ซ.ม. น้ำที่เติมควรกรองด้วยผ้าขาวตาถี่ (ผ้าโอล่อนแก้ว) เพื่อป้องกันไข่ปลาหรือลูกปลาที่จะหลุดรอดเข้าไป จากนั้นหว่านปุ๋ยมูลไก่ในอัตรา 60-90 กิโลกรัมต่อไร่ทิ้งไว้ 3-4 วัน น้ำจะกลายเป็นสีขาวให้เพิ่มระดับน้ำเป็น 1 เมตร นำลูกกุ้งอายุ 1 เดือนปล่อยในอัตรา .30-50 กรัม./1 ตารางเมตร ถ่ายเทน้ำออกในปริมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำในบ่อทุก 15 วัน ให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปโปรตีน 35% หรือรำผสมปลาป่นในอัตรา 2:1 เพื่อลดต้นทุนค่าอาหาร ให้อาหารในอัตรา 10% ของน้ำหนักตัวกุ้ง
เลี้ยง 2-3 เดือน ก็จะสามารถทยอยจับกุ้งตัวโตขายได้ วิธีการจับสามารถทำได้โดยการดักลอบ ยกยอ การช้อนหรือลากอวน แต่วิธีการดักลอบโดยกำหนดขนาดของซี่ลอบและใช้ไฟล่อในเวลากลางคืน จะทำให้ได้กุ้งที่ไม่บอบช้ำและได้ขนาดใกล้เคียงกัน

คุณค่าทางโภชนาการ
ในกุ้งฝอยสด 100 กรัม ประกอบไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการหลายชนิด อย่างเช่น
โปรตีน 15.8 กรัม (ประมาณ 60% ของน้ำหนักแห้ง)
กุ้งฝอยเป็นสัตว์น้ำที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน แคลเซียม และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้มีความนิยมในการนำมาบริโภคกันเป็นอย่างมาก ซึ่งกุ้งฝอยสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่ที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดคือ กุ้งเต้น กุ้งฝอยทอด ตำกุ้ง พล่ากุ้ง แกงกุ้งฝอย น้ำพริกกุ้ง หรือบางคนก็นำมารับประทานสด ๆ วันนี้เราจึงได้นำวิธีการทำเมนูยอดนิยมมานำเสนอ
ส่วนผสมหรือวัตถุดิบ ดังนี้
วิธีทำหรือปรุงรส
คำเตือนการบริโภคก้อยกุ้งหรือกุ้งเต้น
โรคพยาธิใบไม้ปอด ชนิดพาราโกนิมัส พยาธิเข้าไปฝังตัวอาศัยอยู่ในปิด เนือปอดจะถูกทำลาย การติดต่อโรคได้โดยการกินปูและกุ้งน้ำจืด ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ปอด

ส่วนผสมหรือวัตถุดิบ ดังนี้
วิธีทำหรือปรุงรส

เกษตรอินทรีย์ บุณยาพรฟาร์ม